เซิร์ฟเฟอร์ไทย 5 คน ขับรถลงใต้ เพื่อสำรวจที่เซิร์ฟฝั่งอ่าวไทย จังหวัดพัทลุง สงขลา และปัตตานี
วันหนึ่งในห้องนั่งเล่นของมังกี้ไดฟ์โฮสเทลเขาหลัก พี่ติ๋ว (@tueue) เอ่ยปากออกมาว่า ' อยากไปลองเซิร์ฟที่สงขลา ' ดิว พี่เรมี (@rameejunpraset) พี่นีโน่ (@nateechaweewanichkul) และพี่โอม (@omepichaya) จึงตกลงกันว่าจะเริ่มเดินทางตอนแปดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น โดยไม่ได้จองที่พักหรือวางแผนในการเดินทางอะไรทั้งสิ้น
เช้าของวันแรกในการเดินทาง พี่ติ๋วบอกว่าอยากไปสำรวจหาดที่มีคนเคยพูดถึง แต่ยังคงเป็นความลับอยู่ เราขับรถหลงไปหลงมาในป่าสักพัก และตามดูทะเลบนแผนที่ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายไปเจอคลื่นที่ยกมาอย่างสวยงามที่มีความคล้ายเคียงกับคลื่นเมืองนอก -
ในนามของ surf ethics ดิวขอเคารพ local surfer คนนั้น และไม่เปิดเผยว่าหาดที่เจออยู่ตรงไหน
เนื่องจากพี่ติ๋วและดิวมีญาติอยู่ที่จังหวัดพัทลุง เราจึงตัดสินใจมุ่งไปทางนั้น เราได้แวะหาดในพัทลุงหนึ่งหาดที่ไม่มีคลื่น จุดชมวิวหนึ่งจุดกลางนา เซเว่นหลายสาขาเพื่อซื้อขนม และจบท้ายด้วยร้านอาหารที่มีโบว์สเก็ต 'เดอะเคป' ของพี่คิง นักเซิร์ฟคนหนึ่งที่เราเห็นในนำ้กันบ่อยๆแถวภูเก็ต
ระหว่างการเดินทาง พี่นีโน่ก็ได้ชี้ให้เราเห็นอะไรแปลกๆหลายอย่าง เช่น "ต้นไม้ที่มีขนหน้าแข้ง" และ "ภูเขาที่กำลังหายใจอยู่" ดิวได้เรียนอะไรใหม่ๆจากพี่นีโน่เยอะเลยบนรถครั้งนี้ เช่นใบเฟิร์นบนต้นปาล์มคือขนหน้าแข้ง และหมอกบนภูเขา คือลมหายใจของมัน
ในเช้าของวันต่อมา เราไปเยี่ยมญาติของดิวกับพี่ติ๋ว และร่วมทำบุญก่อนออกเดินทางไปสู่จังหวัดสงขลา เราสรุปกันว่าพัทลุงยังคงไม่มีคลื่นให้เล่น แต่อยากมาสำรวจใหม่ในวันที่พยากรณ์ดีอีกครั้ง
คืนวันนั้นเราหาที่พักกันในเมืองหาดใหญ่ จังหวดสงขลา และนัดกินข้าวต้มรอบดึกกับ พี่ฮุย (@huitawat ผู้ตั้ง Samila Surf Club) คืนนั้นบังเอิญมากที่ไปเจอพี่ Ken Yashiro จากที่เพิ่งเจอกันที่พังงาก่อนเดินทางมา พูดได้ว่าตากล้องคนนี้อยู่ทุกที่จริงๆ
วันต่อมา เราได้ลงนำ้เล่นเซิร์ฟที่หาดนาทับ จังหวัดสงขลา เป็นวันที่มืดครี้มเนื่องจากมีพายุเข้า แต่ถือว่าเป็นบุญต่อนักเซิร์ฟ เพราะคลื่นที่ยกมาให้เราวันนั้นเล่นกันสนุกมากๆ คลื่นมีความสูงประมาณ 2 - 4 ฟุต แต่ค่อนข้างคลีนสำหรับคลื่นพายุ หลังจากที่เซิร์ฟเสร็จ เราขับไปดูคลื่นที่หาดสมิหลาที่ดูดีเช่นกัน พี่ฮุยได้เล่าว่า คลื่นสงขลาปีนี้ดีกว่าปีก่อนมากๆที่อาจเป็นเพราะทรายที่เปลี่ยนไปกับกระแสนำ้ ดิวตื่นเต้นมาก เพราะทำให้มีกำลังใจที่ได้รู้ว่าในไทยเราอาจมีหาดอีกมากมายที่สามารถเซิร์ฟกันได้เพิ่มในอนาคต
คืนนั้น พี่นีโน่บ่นอยากกินขนมหวานมาก เราเลยพาพี่เขาไปกินบัวลอยก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางต่อไปสู่จังหวัดปัตตานีในวันรุ่งขึ้น โดยมีพี่ฮุยเป็นคนนำทางเราไป
ขาเข้าจังหวัดปัตตานีไปสู่หาดเซิร์ฟ ขอใช้คำว่า "ตื่นเต้น" เพราะลืมไปว่าปัตตานี ยังคงเป็น 1ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ยังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พี่ฮุยพาเราและพี่อัฐ (@peterpertypeter) ขับเข้าไปในเส้นทางหมู่บ้านที่เหมือนไม่ค่อยได้รับแขก เพราะรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองรถของเราตลอดเวลา บนถนนหลักมีด่านกับทหารที่ถือปืนอยู่ทุกคน ส่วนในซอยมีด่านที่ต้องขับรถอ้อมเกือบทุก 200 เมตร
พอถึง 'หาดแฆแฆ' ที่ดูล้างไร้คน พี่เรมีถอนหายใจและถามพี่ฮุยว่าได้ขับมาเล่นที่นี่กี่ครั้งแล้ว พี่ฮุยตอบกลับมาว่า...
"นี่แหละ ครั้งแรกของพี่พร้อมกับพวกเอ็งเลย กำลังหาพวกที่กล้ามาด้วยกันพอดี!"
อ้าว!!! พี่ฮุยหลอกเรามา!!!
แต่ขอบอกว่าคุ้มกับการโดนหลอกมามาก เพราะขนาดที่เราเดินขึ้นเนินไปสำรวจแถวหาด เราก็ได้เจอคลื่น 4-8ฟุต ที่ยกอยู่กลางทะเล ที่ทำให้พี่ติ๋วถึงกับกระโดดไปมาและวิ่งลงนำ้แบบไม่รอใครเลย
พี่ฮุยได้แนะนำมาว่าควรใส่ชุดเล่นเซิร์ฟที่มิดชิด โดยเฉพาะผู้หญิง ( ให้ความเคารพกับท้องถิ่นที่เป็นชุมชนมุสลิม ) ดิวกับพี่เรมีเลยแอบเกร็ง เพราะไม่ได้เตรียมชุดแขนหรือขายาวมาเลย แต่โชคดีที่มีพี่ฮุย วีรบุรุษของเรา ที่เอาเสื้อแขนยาว กับกางเกงเลกกิ้งมาเผื่อ พี่เรมีจึงใส่เลกกิ้งของพี่ฮุยไป ส่วนดิวก็ใส่เสื้อเวทสูทของพี่เขาทับชุดว่ายนำ้ ขอบอกเลยว่า หลวมและหนักมากในนำ้
คลื่นที่หาดแฆแฆนั้น ไม่ได้แตกหน้าหาดเหมือนที่เราเล่นกันบ่อยๆที่เขาหลัก คลื่นนี้แตกอยู่กลางทะเล เราจึงต้องพายสวนคลื่นหน้าหาดออกไปก่อนที่จะถึงคลื่นที่เซิร์ฟข้างนอกได้ และพอถึงจุดเซิร์ฟแล้ว เราก็ต้องพายต้านกระแสนำ้ที่คอยดึงเราไปสู่ฝั่งที่มีคลื่นตีอยู่บนก้อนหินตลอดเวลา ถือว่าเป็นจุดเซิร์ฟที่ค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว พอเห็นว่าพายุกำลังเข้าเราเลยรีบขึ้น เพราะการพายกลับต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะกว่าปกติก่อนที่จะถึงฝั่ง
พอเราขึ้นมาจากนำ้แล้ว โชคดีมากที่ได้เจอพี่กั๊ก (FB: Marco G. Tahini) ที่หลายคนอาจรู้จักบนเฟสบุ๊คที่เป็นเซิร์ฟเฟอร์หนึ่งเดียวของปัตตานี พี่เขาเลยพาเราไปดูคลื่นอีกหาดกันต่อ
หาดที่พี่กั๊กได้พาเราไปดูนั้น เป็นหาดที่ยาว กว้าง และโล่งที่สุดที่ดิวเคยเห็นมาในประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะเป็นฝั่งหาดที่เปิดให้กับทะเลจีนใต้เต็มๆ มีบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนประเทศไทย ในมุมหนึ่งก็เหมือนประเทศนิวซีแลนด์ เพราะบนฝั่งมีแต่หญ้าที่วัวกำลังกินอยู่กับถนนเล็กเส้นหนึ่งที่วิ่งขนานกับทะเล ในอีกมุม ก็รู้สึกเหมือนอยู่อเมริกาใต้ เพราะมีป่ากระบองเพชรอยู่ใกล้ๆหาด ส่วนคลื่น ก็ยกมาแบบหนาๆใหญ่ๆอย่างเต็มใจจากมหาสมุทรให้เราได้เล่นกัน แต่เสียดายที่พอลงไปในนำ้ พายุและลมก็ตามมาทันที คลื่นที่ดูคลีนตอนแรกจึงกลายเป็นเละ แต่เราก็ยังสนุก และตื่นเต้นไปกับมันอยู่ดี
ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ไม่อยากเชื่อว่าฝั่งอ่าวไทยของประเทศไทยจะมีคลื่นแบบนี้ได้ คลื่นที่มีความแรงเท่ากับกับฝั่งอันดามัน และยังคงมีความเอกลักษณ์ของธรรมชาติที่ไม่เหมือนที่อื่นในประเทศ
การที่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ทำให้ลืมสิ่งที่คิดมากเกี่ยวกับปัตตานีไปเลย
เพราะแม้ประวัติของมันอาจดูรุนแรง แต่ในปัจจุบัน ฝั่งนี้ของประเทศยังคงมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครเคยได้สัมผัสอีกเยอะ จึงอยากกระตุ้นคนที่อยู่ฝั่งทะเลจีนใต้ให้แนะนำเส้นทางการเดินทาง และที่พักให้ดี เพราะยังรู้สึกว่าปัตตานียังคงเป็นที่เข้าถึงยากสำรับคนนอกทั่วไป และขอแนะนำว่าคนที่ไปควรเซิร์ฟและว่ายนำ้แข็งแล้วด้วย
เราไม่ได้ค้างคืนที่ปัตตานีเนื่องจากยังไม่คุ้นกับจังหวัด และเอาความปลอดภัยเป็นหลักก่อน เย็นวันนั้นเราจึงขับรถกลับหาดใหญ่ และลาจากการเซิร์ฟครั้งสุดท้ายบนทริปนี้
วันรุ่งขึ้นก่อนเช็คเอาท์จากที่พัก ทางโรงแรมมาบอกว่าพี่ฮุยได้ฝากอาหารเช้าให้เรามา น่ารักมากเลย!! พอกินเสร็จ เราไปส่งพี่ติ๋วกลับระยองที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ส่วนดิว พี่เรมี พี่นีโน่ และพี่โอม ก็ขับกลับพังงาด้วยกัน
แต่ยังไม่จบ!!
พี่นีโน่ขับตาม Google Maps ไปมาจนหลงขึ้นเขาสก จริงๆไม่ควรขับรถบนเขาสกตอนเย็นเพราะถนนค่อนข้างอันตราย แต่ด้วยนิสัยของพี่นีโน่ พอเห็นจุดชมวิวเลยขับรถขึ้นไปดู เราไปตะโกนเล่นบนเขาอยู่สักพักก่อนขับกลับออกมา โชคดีที่หลุดจากเขาก่อนมืดพอดี (สามารถดูเบื้องหลังได้ในคลิปข้างล่าง)
สรุปแล้ว การเดินทางครั้งนี้สนุกมาก เป็นทริปที่ไม่เคยนึกว่าจะได้ออกด้วยกัน เนื่องจากไม่มีใครเคยคิดที่จะไปเซิร์ฟแถวนั้นมาก่อน และจริงๆทุกคนที่ร่วมทริปก็ไม่เคยไปไหนด้วยกันมาก่อน คือเป็นช่วงเวลา 15 นาทีที่อยู่ด้วยกันพอดีที่พี่ติ๋วอยู่ดีๆก็ทักขึ้นมาว่าอยากไป ถือว่าเราปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยตัวของมันเองจริงๆ
ถามว่าการออกทริปแบบนี้ยากไหม จริงๆก็ไม่ยากนะ แต่ดิวคิดว่าต้องมีความรู้และมีคนรู้จักในระดับหนึ่ง ซึ่งโชคดีที่พี่ๆมีกัน ส่วนดิวก็โชคดีที่เซิร์ฟเป็นในระดับหนึ่ง เพราะถ้าพามาด้วยปีที่แล้วคงไม่กล้าลงนำ้แน่ๆ
ดิวอยากให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในสังคมเซิร์ฟในไทยให้มากขึ้น เราจะได้สนุกและไปผจญภัยด้วยกันเยอะกว่าเดิมในอนาคต แค่เราแสดงถึงความรักที่มีต่อการเซิร์ฟ ด้วยมารยาทไทยที่ดี ดิวเชื่อทุกคนสามารถเข้าถึงกันได้ง่ายมาก แม้จะไม่มีโอกาสเล่นเซิร์ฟบ่อยก็ตาม ดิวเคยรู้สึกกลัวหรืออายที่จะถามและคุยกับพี่ๆในวงการเซิร์ฟมาตลอด แต่จริงๆแล้วทุกคนยินดีตอบเราด้วยรอยยิ้มเสมอ
Surf culture ในหลายประเทศ เช่นที่ออสเตรเลีย มีความแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งหลายๆครั้งจึงทำให้บรรยากาศในนำ้และบนบกระหว่างนักเซิร์ฟไม่ค่อยดี ดิวอยากให้ surf culture ของเราได้เรียนรู้จากตัวอย่างนี้ และเติบโตขึ้นไปกับสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยกัน
นั่นก็คือ Thailand the Land of Smiles
ขอขอบคุณ @omepichaya @tueue @nateechaweewanichkul @rameejunprasert สำรับรูปสวยๆทั้งหมด และที่เป็นเพื่อนร่วมทริปที่สนุกที่สุดค่ะ
สามารถดูเบื้องหลังของทริปในมุมมองของดิวได้ในคลิปนี้: